
อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2025 เป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะสถานการณ์ของสองผู้นำตลาดอย่าง BYD และ Tesla ที่มีการเริ่มต้นปีในทิศทางที่ต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปี โดยราคาหุ้นของ BYD ปรับตัวเพิ่มขึ้น +52.59% ขณะที่หุ้นของ Tesla กลับลดลง -34.74%
บทความในสัปดาห์นี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุและปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้งสองบริษัทเผชิญเส้นทางที่แตกต่างกัน
BYD ยังคงเติบโตแข็งแกร่ง รวมถึงยังมีปัจจัยบวกต่างๆ หนุนมาโดยตลอด

โดยฝั่งของ BYD สามารถเริ่มต้นปี 2025 ได้อย่างราบรื่นด้วยการเปิดตัวรถยนต์ SUV รุ่น Atto 3 โฉมใหม่ที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก รวมถึงยังได้รับ Sentiment เชิงบวกจากการที่ประธานาธิบดี Xi Jinping พบปะกับผู้นำบริษัทเอกชนรายใหญ่ของจีน ซึ่ง Wang Chuanfu CEO ของ BYD เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเชิญด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจของรัฐบาลจีนต่อ BYD ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนในระยะยาว
ด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.76 ล้านคัน และหากรวมรถประเภทอื่นๆ จะมียอดส่งมอบรวมสูงถึง 4.27 ล้านคัน โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายการส่งมอบในปี 2025 ไว้ที่ราว 5-6 ล้านคัน ซึ่งยอดส่งมอบสองเดือนแรกของปี 2025 อยู่ที่ 623,300 คัน เพิ่มขึ้นถึง +93% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ด้วยยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทำให้ผลประกอบการปี 2024 ของ BYD โดดเด่น โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น +29% อยู่ที่ ¥777 billion (ประมาณ $107 billion) สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ ¥766 billion และยังสูงกว่าคู่แข่งสำคัญอย่าง Tesla ที่มีรายได้อยู่ที่ $97.7 billion ในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น +34% YoY อยู่ที่ ¥40.3 billion ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์เช่นกัน
นอกจากนี้ BYD ยังคงมีอนาคตที่สดใส หลังจากเปิดตัวแบตเตอรี่และระบบชาร์จไฟที่ใช้เวลาในการชาร์จเพียง 5 นาที รวมถึงมีแผนขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงสูงถึง $5.6 billion ซึ่งถือเป็นการระดมทุนที่มีมูลค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี เงินทุนส่วนนี้จะนำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนา รวมถึงขยายตลาดไปยังยุโรปและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์และไทยสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งของ BYD ในตลาดโลก
หรือ Elon Musk อาจเป็นสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับ Tesla?
ในขณะที่ Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากสหรัฐอเมริกา กลับเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในช่วงต้นปี 2025 เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมที่ยอดขายในยุโรปลดลงถึง 45% YoY และในเดือนกุมภาพันธ์ยอดส่งออกรถยนต์จากโรงงานในจีนไปจำหน่ายทั่วโลกก็ลดลงถึง 49% ซ้ำร้ายยังต้องเรียกคืนรถยนต์รุ่น Cybertruck เนื่องจากพบข้อบกพร่องในการประกอบ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในแบรนด์ และอาจทำให้ส่วนแบ่งการตลาดลดลงในอนาคต
นักวิเคราะห์จาก BloombergNEF ชี้ว่า Tesla มีจุดอ่อนจากการมีรุ่นรถยนต์ที่จำกัดเพียง 5 โมเดลเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าคู่แข่งจีนที่มีความหลากหลายและครอบคลุมตลาดได้มากกว่า ขณะที่ UBS ประเมินว่าระยะเวลาส่งมอบที่สั้นลงสะท้อนถึงความต้องการรถยนต์ที่ชะลอตัว ส่งผลให้อัตราการขายในไตรมาสแรกของปี 2025 อาจหดตัวลงถึง -5% YoY
นอกจากนี้อีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ Tesla คือ Elon Musk เอง ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันจากการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) โดยตลาดกังวลว่าเขาอาจไม่มีเวลาบริหารกิจการ Tesla อย่างเต็มที่ เห็นได้จากกรณีความล้มเหลวของจรวด SpaceX สองครั้งล่าสุดที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างชัดเจน นอกจานี้ Musk เองยังได้ยอมรับผ่านสื่อว่าเขากำลังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารงานหลายด้านพร้อมกัน ซึ่งตลาดกำลังหาทางกดดันให้ Tesla พิจารณาแต่งตั้ง CEO ใหม่เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างไรก็ดี Elon Musk ได้จัดการประชุมพิเศษเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดย Elon Musk ได้ออกมาเรียกความเชื่อมั่นจากพนักงานอย่างจริงจังโดยโน้มน้าวไม่ให้พนักงานขายหุ้นของ Tesla พร้อมกับให้คำมั่นสัญญาถึงการเติบโตครั้งใหม่ด้วยเทคโนโยลีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ซึ่งผลตอบรับจากผู้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้เป็นที่น่าพึงพอใจและยังส่งผลให้ราคาหุ้น Tesla กลับมาฟื้นตัวได้บ้าง
จากสถานการณ์ที่กล่าวมานั้น เห็นได้ชัดว่า BYD กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ดี ทั้งจากความสำเร็จของธุรกิจและการสนับสนุนจากภาครัฐ ในขณะที่ Tesla ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ที่ต้องเร่งปรับตัวเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งจากจีน และปัญหาการบริหารภายในที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน แต่อย่างไรก็ดีอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมยังคงมีศักยภาพในการเติบโตสูงจากความต้องการที่ยังคงเพิ่มขึ้นและการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งานในอนาคต
ที่มา: Bloomberg, CNBC, Fox Business, UBS