
ในปี 1999 ตอนนั้นบริษัท Intel ยังเป็นผู้นำในตลาด Semiconductors ความยิ่งใหญ่ของ Intel ดูเหมือนจะยากที่จะมีใครสามารถมาท้าทายได้ แต่ในปีนั้นเองที่บริษัทผลิตชิปเล็ก ๆ อย่าง Nvidia ได้นำหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq เป็นครั้งแรก และหลังจากนั้น Nvidia ใช้เวลาเพียงไม่ถึง 3 ปี ในการเติบโตและถูกนำเข้าคำนวณรวมในดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนหุ้น 500 ตัวที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ฯ ถึงแม้ Nvidia จะดูเป็นหุ้นที่เติบโตได้โดดเด่นในตอนนั้น แต่ก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าในเวลาต่อมา Nvidia จะกลายมาเป็นหนึ่งในหุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดในโลก และยังก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทผลิตชิปที่มีมูลค่ามากที่สุดแซงหน้า Intel รวมถึง Nvidia ยังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap มากที่สุดในโลก แซงหน้าทั้ง Microsoft และ Apple ได้สำเร็จ เมื่อวันอังคารที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดีในช่วงระยะเวลากว่า 25 ปี นับตั้งแต่ Nvidia นำหุ้นเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก หนทางการเติบโตของ Nvidia ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ บริษัทต้องเผชิญกับทั้งวิกฤติและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดหลายครั้ง กว่าจะมากลายมาเป็นหนึ่งในบริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุดในโลก โดยในบทความนี้เราจะมาย้อนรอยเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นกับ Nvidia นับตั้งแต่เข้า IPO เป็นครั้งแรกจนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกัน
ช่วงระยะเวลาเริ่มต้น ปี 1999-2007
ในช่วง 3 ปีแรกที่หุ้น Nvidia เข้า IPO จนเติบโตและถูกนำเข้าคำนวณรวมในดัชนี S&P500 ราคาหุ้น Nvidia สร้างผลตอบแทนได้สูงถึงกว่า 1,600% และ Market Cap ของบริษัทแตะระดับ 8 พันล้านเหรียญ สวนทางกับหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงในช่วงเกิดวิกฤติ dot-com bubble
ซึ่งปัจจัยที่หนุนการเติบโตของ Nvidia ให้โดดเด่นเหนือบริษัทอื่น คือ การนำเอาเทคโนโลยีของบริษัทเข้าไปอยู่ในเครื่องเล่นเกมอย่าง Xbox ของ Microsoft และ PlayStation ของ Sony โดยชิปการ์ดจอ GeForce ของ Nvidia ได้รับความนิยมจากทั้งบริษัทผลิตเครื่องเล่นเกมและผู้ใช้งานที่เป็นคนเล่นเกมอย่างสูงเนื่องจากการแสดงผลเกมต่าง ๆ ผ่านการ์ดจอของ Nvidia ให้ประสบการณ์ที่สมจริงและแสดงผลออกมาเป็นภาพที่สวยงามอย่างมาก และต่อมาชิปการ์ดจอของ Nvidia ยังถูกนำเข้ามาใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ PC ส่งผลให้การเล่นเกมในเครื่อง PC ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
ช่วงระยะเวลายากลำบากและเผชิญความท้าทาย ปี 2008-2014
ในช่วงเวลา 6 ปีนี้ ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของ Nvidia เท่าไหร่นัก ราคาหุ้น Nvidia ปรับลดลงอย่างมากในช่วงเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 เนื่องจากวิกฤติที่เกิดขึ้นส่งผลให้ความต้องการใช้งานชิปลดลง และยังเป็นช่วงเวลาที่บริษัทผลิตชิปคู่แข่งสำคัญของ Nvidia อย่าง AMD กลับมาพัฒนาเทคโนโลยีได้ดี และกลับมาได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานอีกครั้ง และในช่วงเวลานั้นเอง Nvidia ยังมีความขัดแย้งกับคู่แข่งสำคัญอย่าง Intel ด้วยการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดสิทธิบัตรระหว่างกัน ก่อนที่ข้อพิพาทจะจบลงด้วยการที่ Intel ต้องเป็นฝ่ายจ่ายเงินให้ Nvidia จำนวน 1.5 พันล้านเหรียญ
แต่ในช่วงที่บริษัทต้องเผชิญกับหลายปัญหาพร้อมกัน Nvidia ก็ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยอีกหนึ่งในก้าวที่สำคัญของบริษัท คือ การเปิดตัวชิปสำหรับการใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์ใน Data center ที่ช่วยในการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องการการประมวลผลขั้นสูงอย่าง การสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และ การพยากรณ์อากาศ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Nvidia เข้าสู่ตลาดที่จะทำเงินให้กับบริษัทอย่างมหาศาลในเวลาต่อมา อย่างไรก็ดี ต้องใช้เวลานานถึง 9 ปี กว่าที่ราคาหุ้น Nvidia จะกลับมาพุ่งสูงขึ้นและแซงหน้าจุดสูงสุดเดิมในปี 2007 ได้
ช่วงระยะเวลาของ Crypto และ Covid ปี 2015-2021
ราคาหุ้นของ Nvidia ปรับเพิ่มขึ้นแรงอีกครั้งในปี 2015 เนื่องจากในช่วงเวลานั้นชิปของ Nvidia ได้กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นกับเทคโนโลยีขั้นสูงใหม่ ๆ อาทิ การประมวลผลกราฟฟิกขั้นสูง ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ รวมไปถึงเริ่มมีเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ทีเริ่มใช้งานชิปของ Nvidia และแน่นอนว่าการได้รับความนิยมอย่างมากของ Bitcoin และ Cryptocurrency อื่น ๆ ทำให้ความต้องการชิปการ์ดจอของ Nvidia ที่ต้องนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของคอมพิวเตอร์เพื่อการขุด Bitcoin เพิ่มขึ้นอย่างสูง และถึงแม้ในเวลาต่อมาราคาของ Bitcoin และ Cryptocurrency อื่น ๆ จะปรับลดลง และการขุด Bitcoin จะได้รับความนิยมลดลงอย่างมาก แต่ความต้องการใช้งานชิป Data center ของ Nvidia ยังคงพุ่งสูงขึ้น และการแพร่ระบาดของ Covid-19 ยังเหมือนเป็นตัวเร่งความต้องการใช้งานชิปของ Nvidia เพิ่มมากขึ้นไปอีกเนื่องจากการทำงานแบบ Remote work ต้องการอุปกรณ์ใหม่ ๆ และการประมวลผลที่มีความรวดเร็ว โดยในช่วงระหว่างปี 2017-2021 รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Data center ของ Nvidia เพิ่มสูงขึ้นกว่า 8 เท่า
ช่วงระยะเวลาของ Generative AI ปี 2022 ถึงปัจจุบัน
ในปี 2022 ราคาหุ้น Nvidia ปรับลดลงแรงไม่ต่างจากหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ เนื่องจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลให้ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ความต้องการใช้งานชิปในช่วงแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังลดลงอย่างมากหลังจากมีการเปิดเมืองและผู้คนทั่วโลกกลับมาใช้ชีวิตในรูปแบบปกติ
แต่ในช่วงปลายปี 2022 นี้เองที่บริษัท OpenAI ได้เปิดตัว ChatGPT – Generative AI ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและเป็นเหมือนตัวจุดชนวนให้เทคโนโลยี AI กลายมาเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทเทคโนโลยีต้องพัฒนาและกลายมาเป็นกระแสการลงทุนหลักของโลก โดย Nvidia คือผู้ชนะอย่างแท้จริงจากการเข้ามาของเทคโนโลยี AI เนื่องจากชิป GPU ซึ่งใช้งานกับ AI ของ Nvidia มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและบริษัทผลิตชิปอื่น ๆ ยังไม่สามารถก้าวตามทันได้ในปัจจุบัน ทำให้รายได้ของ Nvidia ที่มาจาก Data center แซงหน้ารายได้จากธุรกิจเกมได้เป็นครั้งแรกในปี 2023 และการเติบโตของรายได้รวมยังเติบโตได้ในระดับ 3 digit หลายไตรมาสติดต่อกัน
การเติบโตอย่างก้าวกระโดด และราคาที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของ Nvidia ทำให้เกิดความกังวลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายมาเป็นฟองสบู่ที่รอการแตกออกในอนาคตหรือไม่ โดยเฉพาะในอนาคตหากการเติบโตของรายได้เริ่มชะลอลงและทำให้นักลงทุนผิดหวังจากที่ได้ตั้งความคาดหวังเอาไว้สูงมาก
โดยหลังจากที่ Market Cap ของ Nvidia แซงหน้าขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลกเพียงไม่กี่วัน Microsoft ก็แซงกลับขึ้นไปเป็นอันดับ 1 ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากหุ้น Nvidia ถูกขายทำกำไรออกมาในระยะสั้น นอกจากนี้ Apple ที่หลังจากเปิดตัวฟีเจอร์ AI ที่จะนำมาใช้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ราคาหุ้นของ Apple ก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและ Market Cap ของ Apple ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับ Nvidia และ Microsoft เช่นกัน
ซึ่งหากนักลงทุนที่อยากลงทุนในหุ้นของ Nvidia เนื่องจากเป็นบริษัทที่เป็นผู้ชนะในยุค AI อย่างแท้จริง แต่ก็ยังมีความกังวลว่าราคาหุ้น Nvidia อาจจะผันผวนได้เนื่องจากราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นเร็วจนเกินไป อีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจก็คือ การเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีการลงทุนในทั้ง 3 บริษัทที่มี Market Cap ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Microsoft Nvidia และ Apple ในกองทุนเดียวนั่นเอง
Source: Bloomberg